วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความรู้เกี่ยวกับ พรบ. คอมพิวเตอร์

                                                         ความรู้เกี่ยวกับ พรบ. คอมพิวเตอร์

มาตรา ๑

             พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”...

มาตรา ๒

             พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓

ในพระราชบัญญัตินี้
  • “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงาน เข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
  • “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดา ที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึง ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
  • “ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบ คอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น
  • “ผู้ให้บริการ” หมายความว่า
    • (๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดย ประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือ ในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
    • (๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
  • “ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม
  • “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
  • “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔

              ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตาม พระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑

              ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

มาตรา ๕

              ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึง โดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๖

              ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๗

               ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๘

               ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๙

              ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือ บางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๐

            ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑

            ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๑๒

           ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
  • (๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันทีหรือ ในภายหลังและไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกิน สองแสนบาท
  • (๒) เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบ คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และ ปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบปีถึงยี่สิบปี

มาตรา ๑๓

              ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือ ในการกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือ มาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๔

              ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • (๑) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
  • (๒) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
  • (๓) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
  • (๔) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและ ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
  • (๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔)

มาตรา ๑๕

               ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตาม มาตรา ๑๔

มาตรา ๑๖

              ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย

มาตรา ๑๗

             ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ
  • (๑) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ
  • (๒) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร

หมวด ๒

              พนักงานเจ้าหน้าที่

มาตรา ๑๘

              ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณีที่มี เหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างหนึ่ง อย่างใด ดังต่อไปนี้ เฉพาะที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด และหาตัวผู้กระทำความผิด
  • (๑) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ นี้มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร ข้อมูล หรือหลักฐานอื่นใดที่อยู่ในรูปแบบ ที่สามารถเข้าใจได้
  • (๒) เรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบ คอมพิวเตอร์หรือจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
  • (๓) สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการที่ต้องเก็บตามมาตรา ๒๖ หรือที่อยู่ ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
  • (๔) ทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ จากระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นยัง มิได้อยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่
  • (๕) สั่งให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
  • (๖) ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับ การกระทำความผิด หรือเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและสั่งให้บุคคลนั้นส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นให้ด้วยก็ได้
  • (๗) ถอดรหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด หรือสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการถอดรหัสลับดังกล่าว
  • (๘) ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการทราบรายละเอียด แห่งความผิดและผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๙

              การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ คำร้องต้องระบุเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดกระทำหรือกำลังจะกระทำการ อย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ต้องใช้อำนาจ ลักษณะของการกระทำ ความผิด รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและผู้กระทำความผิด เท่าที่สามารถ จะระบุได้ ประกอบคำร้องด้วยในการพิจารณาคำร้องให้ศาลพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยเร็ว เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ก่อนดำเนินการตามคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนา บันทึกเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้ต้องใช้อำนาจตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) มอบให้ เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครอง เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ณ ที่นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งมอบสำเนาบันทึกนั้นให้แก่เจ้าของหรือ ผู้ครอบครองดังกล่าวในทันทีที่กระทำได้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการดำเนินการตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) ส่งสำเนาบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการให้ศาลที่มีเขตอำนาจ ภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินการ เพื่อเป็นหลักฐาน การทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา ๑๘ (๔) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อ ได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของ เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็น การยึดหรืออายัดตามมาตรา ๑๘ (๘) นอกจากจะต้องส่งมอบสำเนาหนังสือแสดงการยึดหรือ อายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐานแล้วพนักงานเจ้าหน้าที่จะ สั่งยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่านั้น ให้ยื่นคำร้อง ต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้ แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งเดียวหรือ หลายครั้งรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบวัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือครบกำหนดเวลา ดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งคืนระบบคอมพิวเตอร์ที่ยึดหรือถอนการอายัดโดยพลัน หนังสือแสดงการยึดหรืออายัดตามวรรคห้าให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๒๐

             ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทำให้แพร่หลาย ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในภาคสอง ลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้อง พร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นได้ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ให้ พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้ แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้

มาตรา ๒๑

              ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึง ประสงค์รวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้มีคำสั่งห้าม จำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นระงับการใช้ ทำลาย หรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขในการใช้ มีไว้ในครอบครอง หรือ เผยแพร่ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ดังกล่าวก็ได้ ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ตามวรรคหนึ่งหมายถึงชุดคำสั่งที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือ ระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งอื่นเกิดความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม ขัดข้อง หรือปฏิบัติงานไม่ตรงตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือโดยประการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เว้นแต่เป็นชุดคำสั่งที่มุ่งหมายในการป้องกันหรือแก้ไขชุดคำสั่งดังกล่าวข้างต้น ตามที่รัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๒๒

              ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูล จราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ให้แก่บุคคลใด ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการกระทำเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ โดยมิชอบ หรือเป็นการกระทำตามคำสั่งหรือที่ได้รับอนุญาตจากศาล พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดฝ่าฝืนวรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๓

              พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๔

              ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของ ผู้ใช้บริการ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๕

             ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น

มาตรา ๒๖

             ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการ ผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวันแต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และเฉพาะคราวก็ได้
ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท

มาตรา ๒๗

            ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา ๒๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท และปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

มาตรา ๒๘

            การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ และความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๒๙

            ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจรับคำร้องทุกข์ หรือรับคำกล่าวโทษ และมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้ บรรดาที่เป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงาน สอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพนักงาน สอบสวนผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐมนตรีมีอำนาจร่วมกัน กำหนดระเบียบเกี่ยวกับแนวทางและวิธีปฏิบัติในการดำเนินการตามวรรคสอง

มาตรา ๓๐

            ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคล ซึ่งเกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา

หมายเหตุ

            เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็น ส่วนสำคัญของการประกอบกิจการและการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำด้วยประการใด ๆ ให้ระบบ คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือ ใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่นในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือ ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิด ความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรม อันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว จึงจำเป็น ต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี


ที่มา  :  http://www.blogger.com/post-create.g?blogID

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความรู้เรื่องบล็อก

ความหมายของบล็อก
คำว่า  Blog  หมายถึงเว็บไซต์ส่วนตัวที่ผู้ทำ ( คนทำเค้าเรียกให้เก๋ ๆ ว่า Blogger) เขียนเล่าเรื่องราวเรื่องราวอะไรก็ได้ตามใจชอบ อาจเป็นเรื่องเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของตัวเอง มุมมอง อารมณ์ ประสบการณ์ในแต่ละวัน หรือเรื่องราวที่ตัวเองสนใจ (เอาเป็นว่าเขียนอะไรก็ได้ที่อยากเขียน) เรียงต่อกันตามก่อนหลัง อันที่เขียนที่หลังสุดจะขึ้นมาอยู่หน้าที่สุด การเขียนแบบนี้แต่ละครั้งเรียกว่าการ Blog (คือคำนี้เป็นได้ทั้งคำนาม และคำกริยาว่างั้นเถอะ) ส่วนมากในบ้านเราเนี่ยจะเรียกเว็บที่คล้าย ๆ กันนี้ว่า Diary Online 
Blog เป็นคำเรียกสั้นๆ ของคำว่า WeBlog ซึ่งบ้างก็อ่าน We Blog หรือบ้างก็อ่านว่า Web log แม้จะอ่านต่างกันอย่างไร ทั้งสองคำก็บอกถึงสิ่งเดียวกัน คือ Blog (บล็อก) นั่นเอง
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือ Website ชนิดหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหรือ Entry จะถูกเขียนตามลำดับเวลา และแสดงผลย้อนกลับตามลำดับวันเดือนปี หมายความว่า เนื้อหาที่เราเขียนล่าสุดจะแสดงเป็นลำดับแรก ...งงมั๊ย? พูดง่ายๆ ก็คือ "เขียนก่อน แสดงสุดท้าย หรือล่างสุด ...เขียนทีหลัง แสดงอยู่ตำแหน่งแรก หรือส่วนบนสุดของหน้าเลย"
เนื้อหาของ Blog จะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ความคิดเห็นหรือเรื่องราวส่วนตัว ข่าวหรือบทความเฉพาะด้านต่างๆ เช่น เรื่องเกี่ยวกับอาหาร การเมือง กีฬา บันเทิง สิ่งที่ชอบ ของสะสม หรือข่าวท้องถิ่น การงานบางอย่าง ...มากกว่าจะเป็นไดอารีออนไลน์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว
ใน Blog หนึ่งก็จะประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ และจุดเชื่อมโยง (Link)เพื่อเชื่อมโยงไปยัง Blog อื่น Webpage อื่น และสื่อ(media)ชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องนั้นๆ ที่ Blog นำเสนออยู่
จุดเด่นของ Blog ส่วนมากก็คือ การแสดงความคิดเห็นของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ และในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้แสดงความคิดเห็นกลับ (Comments) ได้ด้วย ...ซึ่งลักษรณะแบบนี้จะมีส่วนคล้ายกับ Webboard แต่ Blog จะแตกต่างจาก Webboard ตรงที่ เราสามารถจัดการหน้าของ Blog ได้เอง เหมือนเราเป็นเจ้าของเว็บไซต์ (ซึ่งก็ใช่จริงๆหละ) ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงส่วนไหน เมื่อไรย่อมสามารถทำได้
รูปแบบดั้งเดิมของ Blog ส่วนใหญ่คือ กล่าวเจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น เกี่ยวกับภาพถ่าย(Photoblog), ภาพเขียน(Sketchblog), วีดิโอ (vlog), เพลง (MP3 blog), หรือ audio (Podcasting), และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายโดยกว้างของสื่อสังคม (social media) งง..ครับ?
(อ้างอิงจาก : http://en.wikipedia.org)
ที่นี้หากเราจะเขียน Blog เราก้ต้องขอใช้บริการจากผู้ให้บริการ ที่เรียกว่า Blog Host ซึ่งมีทั้งฟรีและเสียเงิน ..อันนี้แล้วแต่เราจะเลือกครับ โดยเราต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายเจ้า เช่น
ของไทย เช่น
  • www.storythai.com
  • www.Bloggang.com
  • http://blog.sanook.com
  • www.exteen.com
  • http://weblog.manager.co.th
  • ฯลฯ
ของต่างประเทศ เช่น
  • www.blogger.com
  • www.typepad.com
  • http://www.wordpress.org
  • http://spaces.msn.com
  • www.myspace.com
  • ฯลฯ
เหล่านี้เป็นต้น และเมื่อเราได้ Account หรือพื้นที่สำหรับเขียน Blog มาแล้ว ก็ลงมือเขียนตามรูปแบบของ Blog แต่ละเจ้า ซึ่งจะมีเครื่องมือ (Tool) ในการสร้าง Blog ที่แตกต่างกันออกไป ...อันนี้ต้องศึกษาเป็นรายๆ ไป หรือหากเราเก่ง และเจ๋งพออาจสร้าง Blog Host ขึ้นมาใช้งานเองก็ได้เช่นกัน
ต่อมามีหลายเว็บไซต์เห็นว่าการเปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาเขียนเรื่องของตัวเองนี่น่าสนุกดี ก็เลยพัฒนาให้การเขียน Blog ง่ายเหมือนการตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ด เรียกว่าแค่พิมพ์ดีดเป็นก็ทำ Blog ได้เลยว่างั้นเถอะ ก็เลยทำให้ Blog ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และดีกว่าการตั้งกระทู้ตามเว็บไซด์ต่าง ๆ ที่น่าเบื่อตรงที่มักจะมีตัวป่วน แล้วก็ตอบกระทู้ตอบโต้ไปมา (น่าจะเรียกว่าเถียงมากกว่า) เราที่เป็นคนตั้งกระทู้คนแรกก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อเป็นเจ้าของ Blog นี่เป็นอะไรที่แตกต่าง เพราะเหมือนได้เป็นเจ้าของเว็บบอร์ดของตัวเอง ถ้าใครมาป่วนใน Blog ของเรา เราก็ลบได้เลยทันที เป็นเหมือนบ้านของเราเอง 

ประโยชน์และความสำคัญของ Blog

Blog ในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ส่วนใหญ่) ใช้งานง่าย ...โดยผู้เขียนไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนเว็บไซต์ด้วยโปรแกรมภาษา หรือโปรแกรมสำเร็จรูปใดๆ เลยก็ย่อมได้ สามารถปรับแต่ง แก้ไขได้ง่าย บนหน้าจอ ณ เวลานั้นเลย แต่หากจะมีความรู้เรื่องภาษา Html ก็จะยิ่งดีมากๆ เพื่อช่วยในการปรับแต่งในขั้นลึกยิ่งขึ้น...
ประโยชน์ของ Blog นั้นมีมากมาย กว้างขวางยิ่งกว่า ไดอารี่ หรือบันทึกส่วนตัวทั่วๆ ไป

ประโยชน์ของ Blog สามารถแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนีประโยชน์ของ Blog สามารถแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี
1.  เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อเสนอให้ผู้คน สาธารณะได้รับรู้
2.  เป็นเครื่องมือช่วยในด้ารธุรกิจ เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวขององค์กร การเสนอตัวอย่างสินค้า การขายสินค้า และการทำการตลาดออนไลน์ เป็นต้น
3.  เป็นแหล่งความรู้ใหม่ๆ ที่ถูกต้องและชัดเจน จากผู้มีความรู้เฉพาะด้านๆ นั้น เนื่องจากผู้เขียน Blog มักจะเขียนถึงเรื่องที่ตัวเองถนัด ชอบ และมีความรู้ลึกในเรื่องนั้นๆ การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านใน Blog ต่างๆ จึงทำให้เราค้นพบความรู้ และผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น
4.  ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมาย(ทั่วโลก) และมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ
5.  และอื่นๆ อีกมากมาย
6.  ผู้เรียนสามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างความรู้ บันทึกข้อมูล เรื่องราว  ข่าวสารความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ในสิ่งที่สนใจ เป็นการถ่ายทอดสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในสมองลงสู่ตัวหนังสือ การเขียนมีอิสระทางความคิดในรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเอง  ถ้าผู้เรียนมีการเขียน blog อยู่เป็นประจำก็จะสามารถนำมาสู่การสร้างขุมความรู้  ( Knowledge  Assets ) ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ผู้เรียนสามารถเก็บรวบรวมและแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและ รวดเร็ว
            7. เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ความรู้ ให้กับผู้เรียน โดยหลักการของ blog คือการเผยแพร่เรื่องราวที่ผู้เขียนเขียนไว้บน blog เพื่อแสดงตัวตนของผู้เขียนออกสู่สาธารณชนซึ่งนั่นหมายถึง blog ย่อมมีความสามารถในการสนับสนุนการเข้าถึงความรู้ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ทันทีที่ผู้เขียนมีการเพิ่มเติมหรือแก้ไขความรู้ที่มีอยู่บน blog ไฟล์ RSS ก็จะทำการดึงเอาเนื้อหานั้น ๆ มาใส่ไว้ในไฟล์ด้วยทันที
            8. เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้เรียน การเขียน blog จะอนุญาตให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นต่อความรู้ที่ผู้เรียนเขียนถ่ายทอดลงไปใน blog และผู้เรียนได้เขียนโต้ตอบต่อความคิดเห็นนั้น ๆ ในลักษณะของการสนทนาเพื่อหาความแตกฉานในตัวความรู้ ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันสกัดความรู้ฝังลึกได้อย่างดี
            9. เป็นเครื่องมือในการค้นหาความรู้ ของผู้เรียน ผู้ชำนาญการ และชุมชนปฏิบัติ การเขียนและอ่าน blog เป็นวิธีการค้นหาความรู้ ช่วยให้ค้นพบผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะโดยการเขียน blog ที่มักอ้างถึง blog อื่น ๆ โดยการโยงลิงค์ไปหาบทความหรือบันทึกนั้น ๆ อีกทั้งลิงค์ที่ผู้เรียนบรรจุไว้ใน blog ซึ่งอยู่นอกตัวบทความ หรือการร่วมเป็นสมาชิกของ blog ในกลุ่มที่เรียน
            10. เป็นเครื่องมือในการรวบรวมและแยกแยะประเภทของความรู้ สกัดแก่นความรู้ และสร้างความสัมพันธ์ของความรู้ การให้ผู้เรียนระบุหมวดหมู่หรือคีย์เวิร์ดของบันทึกนั้น ๆ ไว้ ซึ่งบันทึกหนึ่ง ๆ อาจมีความเหมาะสมในการแยกหลายหมวดหมู่ ถือเป็นการสกัดแก่นความรู้จากขุมความรู้ โดยที่ตัวผู้เรียนเอง อาจจะดึงเอาคีย์เวิร์ดของชุมชนที่ถูกรวบรวมผู้ใช้หลายคน
            11. เป็นเครื่องมือในการสร้างลำดับความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของความรู้ ของผู้เรียนโดยมีผู้นำเอาความรู้นั้นไปใช้ ให้เกิดผลและนำผลมาปรับปรุงความรู้เดิมให้เกิดความรู้ตัวใหม่ หรือทำให้ความรู้นั้น ๆ มีความถูกต้องมีหลักฐานที่วัดได้ทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ระบบมีการจัดลำดับความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องของความรู้หนึ่ง ๆ ได้โดยตรงจากผู้อ่าน blog  ซึ่งอาจจะเป็น ผู้ที่ได้นำเอาความรู้นั้นๆ ไปใช้เองอีกด้วย หรือการแสดงสถิติต่างๆของ blog เช่น บันทึกที่ได้รับการแสดงข้อคิด เห็นมากที่สุด หรือ บันทึกที่มีผู้อ่านมากที่สุด ก็สามารถเป็นเครื่องมือพิสูจน์ความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องของความรู้ของผู้เรียนได้ในระดับหนึ่ง
            12. ได้ฝึกประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้เรียนมีความคล่องตัวในการใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์มากขึ้น
13.  พบเจอเพื่อนใหม่ๆ การมีสังคมบนโลกออนไลน์ง่ายขึ้นเป็นกองด้วยการมีบล็อก เพราะเรื่องราวในบล็อกของเราจะเป็นสื่อที่ทำให้คนอื่นทั่วไปในอินเทอร์เน็ตรู้จักเรามากขึ้น การโพสต์รูปหรือข้อความหาเพื่อนบนอินเทอร์เน้ตดูเหมือนจะเชยไปแล้ว บล็อกให้อะไรที่มากกว่าการโพสต์รูปและข้อความหลายเท่านัก ซึ่งการคอมเมนต์บล็อกช่วยให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
14.  สร้างง่ายไม่เสียเงิน เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ ไม่ต้องซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์เล่มโต ซึ่งช่วยลดเวลาที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการเช้าพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตอีกด้วย อื่นๆ อีกมากมาย

ชนิดของ Blog
เทคโนโลยีของ Blog ที่ใช้ง่าย ทำให้มีผู้ใช้ในวงกว้าง และมีความหลากหลาย นี่เป็นแค่ตัวอย่างประเภทของ Blog ส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และมี Blog อยู่มากมายที่ได้ผสมผสานความหลากหลายประเภทเอาไว้ในตัว
Business
ตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนสมัครเล่นและนักลงทุนมืออาชีพ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ใช้ Blog เป็นที่แบ่งปันความรู้ ทริปต์ เทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ Blog ประเภท Business ยังใช้เป็นที่โปรโมตและทำลายชื่อเสียงทางธุรกิจ ใช้เป็นที่อภิปรายโต้เถียงกันถึงแนวทางของเศรษฐกิจ หรือใช้เป็นที่เผยแพร่ข้อมูลก็ได้เช่นกัน

Clubbox
Clobbox เป็น Blog อีกประเภทหนึ่งที่แพร่หลายมาในแถบเอเชียตะวันออก โดยผู้เป็นเจ้าของ Blog ส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียค่ารายเดือน สามารถโพสข้อมูลที่เป็นข้อความ รูปภาพ และไฟล์วิดีโอ เข้าไปได้ทุกวัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการจัดเตรียมพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อรองรับไฟล์เหล่านี้ และยังมี Bandwidth สำหรับส่งข้อมูลขึ้นไปโพสขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มความรวดเร็วอีกด้วย

Cultural
Cultural Blog เป็น Blog ที่ใช้เพื่อการสาธยาย อภิปราย โต้เถียง กันในเรื่องเพลง กีฬา ภาพยนตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมที่กำลังเป็นที่นิยม

MoBlog
MoBlog หรือ mobile Blog นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการรวบรวมเนื้อหาจากอินเตอร์เน็ต จากผู้ขายมือถือ หรือเจ้าของแบรนด์มือถือ หรือ PDA ยี่ห้อต่าง ๆ และอาจจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์บนมือถือด้วย

Online diary
ถ้าจะพูดถึง Blog ในแง่ทั่วไปแล้วบ่อยครั้งที่ใช้เพื่อการเขียนบันทึกประจำวันแบบออนไลน์ หรือวารสาร เช่น LiveJournal.com ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ใช้ Blog เป็นที่แรก ๆ โดยรูปแบบของ Blog ที่ใช้งานง่ายนั้นทำให้ผู้ที่ไม่มีความชำนาญในเรื่องคอมพิวเตอร์ สามารถเข้ามาทำ diary ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งคนทั่วไปมักจะเขียนโครงกลอน ร้อยแก้ว การร้องทุกข์การทำผิดกฎหมาย ประสบการณ์ประจำวัน และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ของ Blog ประเภทนี้ จะเกี่ยวกับเรื่องชีวิตเป็นส่วนใหญ่  ไดอารีออนไลน์ ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา บางคนใช้ Blog เพื่อสื่อสารกับผู้อื่น บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งข้อความที่เขียนลงไปเพื่อสื่อสารกับผู้อื่นนั้น เป็นการสื่อสารทางความคิด มีภาษา กริยา ท่าทางที่ไม่แสดงถึงความก้าวร้าว เปิดรับให้ผู้อื่นเข้ามาอ่านได้อย่างสะดวก และผู้เขียนเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะจดจำว่าใครที่ยังคงต้องการอ่านข้อมูล หรือใครที่เข้ามาอัพเดตข้อมูลความคิดเห็นใส่ลงไป ดังนั้น Blog ประเภทนี้จึงเป็นที่แห่งการรอคอยผู้ที่ปรารถนาจะอ่านมันเท่านั้น  Blog เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ส่วนบุคคลอย่างนี้มีทิศทางว่าจะเป็นที่นิยมและยังครอบคลุมไปถึงเครือข่ายทางสังคมออนไลน์เข้าไปด้วย เช่นที่ Myspace.com และ Xanga.com

PhotoBlog
PhotoBlogs จะประกอบไปด้วย แกลลอรี่รูปภาพที่เปิดกว้างให้เข้าไปดูรูปได้ มีคำบรรยายใต้ภาพ ซึ่งคำบรรยายเหล่านั้นจะทำให้มีความสำคัญ หรือไม่สำคัญก็ได้ ก็อยู่ที่ผู้ใช้ ผู้บรรยาย อย่างที่ sketchBlog ก็มีความใกล้เคียงกับการเป็น photoBlogs แต่เป็น Blog ที่มุ่งเน้นไปที่ภาพสเก็ตช์ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นฐานที่ต้องใช้สายตาเป็นหลัก

Political
Political Blogs ได้รับการต้อนรับจากสื่อ และนักวิชาการมากขึ้น ซึ่ง Blog ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะนำเสนอความเคลื่อนไหวของข่าวสาร โดยบาง Blog จะมีลิงค์บทความจากหน้าเว็บไซต์ข่าวเข้าไปด้วย และบ่อยครั้งที่มีการเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวลงไป ซึ่ง Blog ชนิดนี้หลาย ๆ แห่งก็มีฟีเจอร์สำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างมากมายใส่ไว้ warBlog.com เป็นตัวอย่างของ Blog อันหนึ่งที่ให้ความใส่ใจอย่างมาก เกี่ยวกับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ทีเกี่ยวกับสงคราม บางครั้งเราก็ใช้คำว่า warBlog เพื่อบอกความหมายในเชิงที่ว่า Blog นั้นมีความโน้มเอียงไปในเรื่องสงคราม

Science
นักวิทยาศาสตร์ ก็มีการใส่ความรู้สึกให้หล่อหลอมเข้าไปใน Blog เช่นกัน บางครั้งเราจะเห็นว่ามีบางความคิดเห็นที่เป็นเส้นทางใหม่ที่ชาญฉลาด นำมาตีแผ่ให้ได้อ่านกัน มีการอภิปรายข้อมูล ซึ่งบาง Blog ก็มีข้อมูลที่ดูน่ากลัว ดูน่าจะเป็นอันตรายแต่นักวิทยาศาสตร์บางคนก็มีแนวทางการนำเสนอที่ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งก็ต้องเลือกอ่านกัน

ShockBlog
ShockBlogs มีเนื้อหาส่วนใหญ่ไปในเชิงของการสร้างความดึงดูดใจ แต่ไปในทางของการสร้างความตกใจ (shock) และ Aggressive มากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรือเรื่องที่มีการนำเสนอทางวารสารมาแล้ว โดยอาจจะเป็นบทความที่น่าสนใจ แปลกใหม่ หรือเป็นเรื่องธุรกิจที่กำลังอยู่ในกระแสจากทั่วทุกมุมโลกที่น่าเขียนถึงก็ได้

Spam
SpamBlogs หรือ Splogs นั้น เป็นรูปแบบของการโฆษณาที่บีบบังคับผู้อ่านเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็เหมือนกับ Spam อีเมลล์นั่นแหละ โดย Splogs จะมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือ จะชอบใช้อักษรตัวหนา ใช้คำที่มีการเรียกร้อง ชักจูงใจอย่างรุนแรง ซึ่งเว็บไซต์ที่เป็นสมาชิกใน Splogs นั้น จะมีการส่งลิงค์ของเว็บไซต์สมาชิก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีเนื้อหาในทำนองเดียวกัน ไปหาผู้ใช้อินเตอร์เน็ตคนอื่น ๆ บ่อย ๆ

Topical
TopicalBlogs จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเป็นเอกลักษณ์ มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบแบบเดียวกันเฉพาะกลุ่ม เช่น GoogleBlog ซึ่งจะเป็นเรื่องราวข่าวสารของ Google มีกลุ่มคนรัก Google มาแสดงความคิดเห็นกัน ซึ่ง Blog แบบ Topical นี้ Blog หนึ่งอาจมีแค่หัวข้อทั่วไปกับหัวข้อหลักเท่านั้น ทิศทางของ Blog ประเภทนี้ก็คือ จะต้องบริหารความต้องการของ Bloggers ว่าใครที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับ Blog ของเรา และยังต้องบริหารความสัมพันธ์กับผู้อ่านที่ต้องการเข้ามาค้นหาข้อมูลที่เขาสนใจ ให้ได้ข้อมูลอย่างตรงประเด็น
LocalBlog หรือ Blog ท้องถิ่นนั้น ก็เป็นหนึ่งใน TopicalBlog ด้วยเช่นกันซึ่งคนท้องถิ่นในแต่ละที่ก็จะมีเหตุการณ์ที่เป็นที่สนใจให้พูดถึงแตกต่างกันออกไป

Vlog
Vlog หรือ VideoBlog จะประกอบไปด้วยเนื้อหาทางด้านวิดีโอ ขึ้นไปโพสต์ติดเอาไว้เป็นหลัก เช่น http://video.google.com

Travel
TravelBlogs เป็นหนึ่งในชนิดของ Blog ที่ได้รับความนิยมสูงมาก ๆ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบที่จะแบ่งปันประสบการณ์ เรื่องราวในวันหยุดลาพักร้อนที่ได้ไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ และรูปภาพกับเพื่อน ๆ ครอบครัว และคนในชุมชนเว็บไซต์เดียวกัน อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่เยี่ยมยอดที่จะทำให้นักท่องเที่ยวยังได้สัมผัสกับผู้คนที่อยู่ที่นั่น หลังกลับมายังบ้านของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการท่องเที่ยวเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้กับชีวิต

รูปแบบการเขียน Blog

ปกติแล้วการเขียน Blog ที่เราพบเห็นนั้น มีหลากหลายรูปแบบ พอจะสรุปรูปแบบทั่วๆ ไป ที่นิยมกัน ดังต่อไปนี้
รูปแบบการเขียน Blog แบ่งตามลักษณะของเนื้อหาในการเขียน คือ
1.  Personal เป็นการเขียน Blog แบบเล่าเรื่องส่วนตัว บรรยายถึงความรู้สึกนึกคิด หรือเรื่องในชีวิตประจำวันที่ได้พบเห็นของบุคคลนั้นๆ เล่าเรื่องราวข่าวสารต่างๆ ที่ตัวเองประสบพบเห็น หรือมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ หรือบางครั้งเรียกรูปแบบนี้ว่า การเขียนแบบ Diary ก็ได้ ตัวอย่าง เช่น Blog www.Storythai.com


2.  Topical เป็นการเขียน Blog โดยมีหัวข้อหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนที่ชัดเจน อาจจะเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบหรือมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ โดยตรง เช่น กีฬาบาสเกตบอล กีฬาฟุตบอล กอล์ฟ เกี่ยวกับเพลงที่ชื่นชอบ วิจารณ์ภาพยนตร์ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ หรือ เรื่อง Blog เป็นต้น ซึ่งการเขียนลักษณะนี้จะอิงจากหัวข้อเป็นหลัก จะเล่าเรื่องนอกเหนือจากหัวข้อไม่มากนัก เช่น http://vinman.blogrevo.com


3.  Collaborative เป็นการเขียน Blog แบบเป็นทีม ช่วยกันเขียน ช่วยกันปรับปรุง ซึ่งภายใน Blog อาจจะมีเรื่องราวหลากหลาย ซึ่งอาจเขียนโดยผู้เขียนคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ โดยแต่ละคนจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของ Account ให้ทำการเขียนบทความหรือรับผิดชอบเฉพาะส่วนไป ตัวอย่างเช่น http://gotoknow.org/



4.  Corporate เป็นการเขียน Blog เชิงธุรกิจ โดยบริษัทหรือองค์กรต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ถึงหน่วยงานของตน หรือเป็นตัวเสริมในการบรรยายให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตัวอย่างขององค์กร มี corporate blog ได้แก่ Sun Microsystems, IBM, HP, Microsoft, Yahoo และ Google


Blog ขององค์กร โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ Internal blog และ External blog
·         Internal blog เป็นบล็อกภายในที่ถูกจัดให้มีขึ้นเพื่อบุคลากรขององค์กร และสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเครือข่ายขององค์กรเท่านั้น
·         ส่วน External blog เป็นบล็อกที่อนุญาตให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นบุคลากรสามารถเข้าถึงได้ เช่น ลูกค้าองค์กร เป็นต้น
5.  Specialty เป็นการเขียน Blog แบบพิเศษนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ยกตัวอย่าง เช่น Blog ที่เขียนขึ้นเพื่อประชามสัมพันธ์โครงการซึ่งจัดขึ้นในกรณีพิเศษ การประกาศรับบริจาค การประกวดแข่งขันต่างๆ เป็นต้น





                             http://2talkbig.blogspot.com/2007/05/blog_30.html